วันที่ 8 พฤษภาคม 2012 ถือเป็นวันที่ยิ่งใหญ่สำหรับ รีซ เจมส์ เขาถูกปล่อยตัวจากเปรสตัน นอร์ธ เอนด์ ให้มาทดสอบฝีเท้ากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเขาก็ได้รับการเสนอสัญญาภายในระยะเวลาไม่ถึงสัปดาห์จากทีมแชมป์พรีเมียร์ ลีก ในตอนนั้น
ดาวรุ่งผู้นี้ทำผลงานในตำแหน่งแบ็คซ้ายได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมที่พาทีมชุดยู-18 ของ พอล แม็คกินเนสส์ เอาชนะสโต๊ค ซิตี้ ไป 2-1 โดยในเกมนั้นมี ไทเลอร์ แบล็คเก็ตต์, อันเดรียส เปเรร่า และ เจมส์ วิลสัน ลงเล่นด้วย เขาสร้างความประทับใจได้เป็นอย่างมากจนกระทั่งได้เซ็นสัญญากับทีมปีศาจแดง
“ผมทำผลงานได้ดี” นักเตะวัย 21 ปีกล่าวกับ ManUtd.com ที่เอออน เทรนนิ่ง คอมเพล็กซ์ “ตอนแรกผมก็มีประหม่าบ้าง และผมก็แทบไม่รู้จักกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ เลย (พี่ชาย) แม็ตตี้ เจมส์ เพิ่งจะย้ายออกไป ดังนั้นผมจึงไม่มีเขาคอยอยู่ดูแลผมที่สโมสรแห่งนี้”
“ผมเคยมาทดสอบฝีเท้าที่นี่ก่อนแล้วตอนรุ่นยู-14 แต่ก็ทำได้ไม่ดีก็เลยต้องไปอยู่กับเปรสตันแทน ผมถูกปล่อยตัวออกมาเพื่อมองหาสัญญานักเตะอาชีพตอนอายุ 18 ผมไม่ใช่แค่คนเดียวหรอก นักเตะหลายคนเลยที่ถูกปล่อยตัวออกมา”
“ฟุตบอลมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ผมต้องการที่จะพิสูจน์ให้ผู้จัดการทีมเห็นว่าเขาคิดผิด ผมจึงจะต้องเอาดีกับการเป็นนักฟุตบอลอาชีพให้ได้ มันเป็นสิ่งที่ผมนำมาเป็นเรื่องบวก ในขณะเดียวกันมันก็ดีเหมือนกันเพราะมันทำให้ผมได้มาอยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในตอนนี้ หากตอนนั้นพวกเขาไม่ตัดสินใจอย่างนั้นไป ผมคงไม่ได้มาอยู่ที่นี่ก็ได้”
เจมส์ทำงานอย่างหนักในทีมชุดยู-21 ของ วาร์เรน จอยซ์ และเขาก็ได้รับการยกย่องจากโค้ช และเพื่อนๆ โดยจอยซ์เป็นคนเลือกเขาติดลิสต์ 3 คนสุดท้ายในการเข้าชิงรางวัลนักเตะทีมสำรองยอดเยี่ยมแห่งปีเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา
ในระดับนั้นไม่มีใครที่ลงเล่นมากกว่าเขา และเขาก็ได้รับบทบาทเป็นกัปตันในบางครั้งด้วย แต่แม้กระนั้นมันก็ยังถือเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่เขามีชื่อติดทีมชุดใหญ่ของ หลุยส์ ฟาน กัล ไปร่วมออกทัวร์พรีซีซั่นที่สหรัฐอเมริกา “ผมไม่เคยคาดหวังมาก่อนเลยว่าจะได้ไปออกทัวร์ ดังนั้นมันจึงถือเป็นรางวัลใหญ่สำหรับผม” เขายอมรับ
จากนั้นทุกๆ อย่างก็เริ่มเป็นไปในทางที่ดีขึ้นสำหรับเด็กหนุ่มจากบาคัพ เมืองเล็กๆ ที่อยู่ห่างออกไป 20 ทางเหนือของแมนเชสเตอร์ เขาได้ลงเล่นในบทบาทวิงแบ็ค และก็ทำประตูได้ถึง 2 ลูกในเกมที่เอาชนะแอลเอ แกแล็กซี่ ไป 7-0 ถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักเตะที่ปกติจะเล่นในแนวรับเป็นส่วนใหญ่ “มันเป็นความรู้สึกที่น่ามหัศจรรย์” เขาย้อนนึก “มันเป็นสิ่งที่ผมแทบไม่เชื่อเลย ผมต้องคอยหยิกตัวเองตลอดเมื่อออกนอกสนาม คอยคิดว่า ‘นี่มันเป็นเกิดขึ้นจริงๆ เหรอ?’ มันเหลือเชื่อมาก การได้ลงเล่นถึง 2 เกม และยิงได้ 2 ประตูมันช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน”
เขาได้รับหมายเลขเสื้อในทีมชุดใหญ่ และก็ได้ประเดิมสนามในเกมแคปิตอล วัน คัพ กับเอ็มเค ดอนส์ และก็ได้มีชื่อบนม้านั่งสำรองในพรีเมียร์ ลีก 3 เกมแรกด้วยเนื่องจาก ลุค ชอว์ ได้รับบาดเจ็บ แต่เจมส์เองก็มีอาการบาดเจ็บรบกวนเช่นกันจนทำให้พัฒนาการของเขาหยุดชะงักไปช่วงหนึ่ง ก่อนที่จะกลับมาเล่นให้กับทีมชุดยู-21 พร้อมความหวังที่จะได้รับโอกาสอีกในอนาคต
“ฤดูกาลนี้มีนักเตะถึง 6 คนที่ได้ประเดิมสนาม มันแสดงให้เห็นว่าผู้จัดการทีมไม่กลัวเลยที่จะโยนเด็กใหม่ๆ ลงไปสัมผัสเกมใหญ่บ้าง” เขากล่าว “ในฐานะนักเตะอายุน้อย นี่แหละคือสิ่งที่คุณต้องการ คุณต้องการความรู้สึกที่ว่าคุณเองมีโอกาสที่ดีรออยู่ข้างหน้า และนั่นก็คือสิ่งที่อยู่ในจิตใจของดาวรุ่งทุกๆ คน”
“มันมีช่องว่างที่แคบลงแล้วระหว่างทีมสำรองกับทีมชุดใหญ่ ไมเคิล คาร์ริค ก็ได้ลงมาเล่นในระดับยู-21 เจอกับเวสต์ แฮม ยูไนเต็ด เมื่อมองไปรอบๆ คุณจะเห็นแบล็คเก็ตต์เล่นอยู่ในทีมด้วย คาร์ริคก็เช่นกัน รวมถึงวิลสันที่ยืนในแดนหน้า ผมคิดว่าเรามีทีมที่ยอดเยี่ยมมาก เมื่อเห็นแบบนี้แล้วคุณก็จะมีความเชื่อมั่นบนสนามแข่ง ผมสามารถไว้วางใจทุกคนได้เลย”
“ผมมีชื่อเป็นตัวสำรองในทีมชุดใหญ่ 3 ครั้ง” เขากล่าว “พูดจริงๆ นะ การประเดิมสนามในพรีเมียร์ ลีก คือสิ่งที่ผมต้องการ แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ หากว่ามันยังดูเป็นไปไม่ได้ในตอนนี้ บางทีก็อาจจะต้องมีการพูดถึงการออกไปเล่นแบบยืมตัว ผมเคยอยู่ที่คาร์ไลส์ (ช่วงเริ่มต้นฤดูกาล 2013/14) แต่ผมก็ได้รับบาดเจ็บ ทำให้ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่ผมคาดเอาไว้ ผมต้องพักนานถึง 8 สัปดาห์ พวกเขาจึงต้องหาคนอื่นมาเล่นแทน และผมก็ต้องอยู่กับทีมชุดยู-21 ไปเหมือนเดิม”
เจมส์มองพี่ชายของเขาเป็นแบบอย่างที่สมบูรณ์แบบ เขาทำผลงานได้ดีในเกมที่เลสเตอร์ ซิตี้ เอาชนะทีมปีศาจแดงไป 5-3 เมื่อต้นฤดูกาล และก็ยังมีการติดต่อกันอยู่เสมอ “แมตต์ทำได้ดี” เขายิ้ม “เขาเอาชนะอาการบาดเจ็บได้แล้วในตอนนี้ และเขาก็ได้ลงหลักปักฐานในพรีเมียร์ ลีก กับเลสเตอร์ ซิตี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะอยู่รอดปลอดภัยได้ในฤดูกาลนี้ และเขาก็น่าจะได้ลงเล่นสัก 20-25 เกม”
นั่นเป็นเป้าหมายในระยะยาวสำหรับรีซเช่นกัน ทั้งเขาและพี่ชายต่างก็ต้องการมีอาชีพค้าแข้งในเวทีระดับสูงสุด แต่แม้ว่าจะมีหลายทีมให้ความสนใจยืมตัวเขาไปเล่น เขาก็ยังคงมีความสุขดีในการร่วมงานต่อไปกับจอยซ์ที่เขาบอกว่าเป็นโค้ชที่น่าเหลือเชื่อ “ผมยังไม่รีบร้อน” เขาพูดถึงข่าวที่ว่ามีหลายทีมในระดับแชมเปี้ยนชิพต้องการยืมตัวเขา “ผมยังต้องอดทนรอคอยต่อไปจนกว่าจะเจอสโมสรที่ใช่ และหนึ่งในนั้นก็คือการทำงานกับผู้จัดการทีมที่นี่นั่นแหละ”
ย้อนไป 2 ปีครึ่งก่อนหน้านั้น เขามีความฝันว่าจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เขาทำสำเร็จแล้ว หลังจากนั้นก็พัฒนาตัวเองอย่างยอดเยี่ยมกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเขาก็น่าจะไปได้อีกไกลถ้ายังไม่ได้ย้ายออกไปไหนเสียก่อน
SiR KeaNo
2001-2024 RED ARMY FANCLUB Official Manchester United Supporters Club of Thailand. #ThaiMUSC